SSD ที่มีราคาลดลงต่อเนื่องทำให้หลายคนเริ่มนำมาใช้แทน HDD เดิม ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าน่าประทับใจ แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามคือ SSD นั้นมีข้อจำกัดในการใช้งานหลายอย่าง โดยเฉพาะการที่มันเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์และใช้เซลล์หน่วยความจำแบบแฟลชที่มีจำนวนรอบในการบันทึกข้อมูลที่ถูกกำหนดไว้ตายตัวซึ่งหากใช้งานโดยไม่ระวัง อาจทำให้อายุการใช้งาน SSD สั้นลงกว่าที่ควรจะเป็น
คำแนะนำต่อไปนี้คือวิธีการดูแลเมื่อคุณเปลี่ยนจาก HDD มาใช้ SSD เพื่อช่วยให้มันสามารถอยู่กับเราไปได้นานๆ
หลีกเลี่ยงอุณหภูมิสูงๆ
SSD โดยทั่วไปจะมีฟีเจอรป้องกันเมื่ออุณหภูมิขณะทำงานสูงเกิน 70 องศา โดยจะลดความเร็วลงเพื่อป้องกันไม่ให้เซลหน่วยความจำเสียหายและไดรฟ์เกิดอาการน็อค ให้ตรวจสอบดูว่าในเคสที่ติดตั้ง SSD นั้นมีการระบายอากาศที่ไหลเวียนได้ดี ไม่สะสมความร้อน หากมีฮาร์ดดิสก์แบบจานแม่เหล็กติดตั้งอยู่ใกล้ๆ ให้พยายามย้ายตำแหน่งให้ห่างกันหรือไปติดตั้งใกล้บริเวณพัดลมเพื่อให้อากาศสามารถถ่ายเทหมุนเวียนได้อย่างเพียงพอ
ป้องกันไฟดับไฟกระชาก
จุดอ่อนของ SSD คือการใช้แผงวงจรและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มากมายทั้งคาปาซิเตอร์และภาคจ่ายไฟที่มีโอกาสเกิดความเสียหายได้โดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะไฟตก-ไฟกระชาก ส่งผลทำให้เกิด Bad Block หรือถ้าโชคดีหน่อยอาจยังสามารถใช้งานได้อยู่แต่สูญเสียข้อมูลบางส่วนที่เก็บไว้แบบถาวร
วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการใช้เครื่องป้องกันไฟตกไฟกระชากหรือ UPS ในกรณีที่ SSD นั้นติดตั้งอยู่ในเครื่องพีซี/แมค ส่วน SSD ในโน้ตบุ๊กนั้นจะปลอดภัยระดับหนึ่งจากการที่มีแบตเตอรี่จ่ายไฟเลี้ยงตลอดเวลา แค่ระวังอย่าใช้จนแบตหมดกลางคันก็พอ
งดใช้โปรแกรมทำลายข้อมูล
ในขณะที่ฮาร์ดดิสก์ทั่วไปแบบจานหมุนจะใช้วิธีการมาร์คค่าในเซกเตอร์ที่ผู้ใช้มีการใช้คำสั่ง Delete ข้อมูล ซึ่งหมายความว่าข้อมูลยังคงอยู่แต่ถูกทำเครื่องหมายไว้ว่าลบแล้ว (นั่นคือเหตุผลว่าทำไมแอพพลิเคชั่นกู้ข้อมูลจึงสามารถกู้ไฟล์กลับมาได้) แต่การใช้แอพพลิเคชั่นทำลายข้อมูล (Data Wipe) จะใช้วิธีการที่ต่างไป นั่นคือการเขียนข้อมูล 0 และ 1 ทับลงไปในทุกๆ เซกเตอร์บนพื้นที่เก็บข้อมูล ทำให้ไม่สามารถกู้ไฟล์กลับมาได้
ส่วน SSD นั้นจะสนับสนุนการทำงานร่วมกับคำสั่ง TRIM ไม่ว่าจะผ่านตัวระบบปฏิบัติการหรือเฟิร์มแวร์ของตัวเอง ซึ่งเวลาที่ผู้ใช้งานใช้คำสั่ง Delete ข้อมูลใน SSD จะถูกบังคับให้ลบออกไปแบบถาวรโดยคำสั่ง TRIM ซึ่งหมายความว่าจะไม่สามารถกู้กลับมาได้อีกแล้วโดยไม่ต้องใช้แอพฯ ทำลายข้อมูลใดๆ ในทางกลับกัน หากใช้แอพฯ ทำลายข้อมูลก็จะยิ่งทำให้ SSD มีอายุสั้นลงจากการถูกเขียนข้อมูล 0 และ 1 จนเต็มความจุอย่างน้อย 1 รอบ (อายุการทำงานหายไป 1 Cycle)
อย่าใช้จนเต็ม
อย่าลืมว่าจุดเด่นชอง SSD คือเรื่องของ Performance อย่างความเร็วในการเขียนข้อมูล แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ SSD ถูกใช้งานจนใกล้เต็มพื้นที่ความจุ ประสิทธิภาพจะลดลงแบบทันตาเห็น ซึ่งหลักการและเหตุผลง่ายๆ ก็คือ SSD จะสามารถเขียนข้อมูลลงบนพื้นที่ว่างได้อย่างรวดเร็วเมื่อมีพื้นที่ว่างเหลือเยอะเพราะไม่ต้องใช้เวลาในการคำนวณหาพื้นที่ในการเขียนไฟล์ แต่ถ้าพื้นที่ใกล้เต็ม มันจะต้องใช้เวลาในการหาบล็อกข้อมูลที่เหลืออยู่สำหรับการเขียนไฟล์ซึ่งอาจะเป็นบล็อกข้อมูลเล็กๆ กระจัดกระจายไปทั่วไดรฟ์ หรืออาจต้องย้ายข้อมูลในบางบล็อกไปยังแคชเพื่อเคลียร์พื้นที่ให้ว่างก่อนค่อยเขียนข้อมูลกลับลงไปอีกครั้ง ซึ่งกระบวนการที่ว่านี้กินเวลาและส่งผลต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานอย่างเห็นได้ชัด
แนะนำให้ใช้สูตร 25:75 คือให้เหลือพื้นที่ว่างไม่น้อยกว่า 25% ของความจุ เช่น SSD ความจุ 1TB ไม่ควรใช้บันทึกข้อมูลเกิน 750GB หรือ 75% ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สมดุลย์ที่สุดระหว่างการจัดการพื้นที่ว่าง ประสิทธิภาพการใช้งาน และยังช่วยยืดอายุการใช้งานได้อีกด้วย นอกจากนี้การเหลือพื้นที่ว่างไว้บ้างหากกรณีมี Bad Block เกิดขึ้นมันจะช่วยย้ายข้อมูลไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้
เก็บ Temp ใน HDD แทน SSD
Temporary File หรือไฟล์ชั่วคราวคือไฟล์ที่ถูกสร้างขึ้นอยู่ตลอดเวลาในระหว่างที่คุณทำงานหรือขณะท่องเว็บต่างๆ นั่นหมายถึงว่า SSD ของคุณจะถูกเขียนข้อมูลซ้ำไปซ้ำมาบ่อยครั้งโดยไม่จำเป็นและมีผลทำให้อายุการใช้งานลดลงด้วย ในกรณีที่ในเครื่องของคุณยังมีฮาร์ดดิสก์ HDD ใช้งานอยู่ด้วย แนะนำให้ตั้งค่าวินโดวส์ให้เขียนไฟล์ Temp ลงในนั้นแทน
ในกรณีของ Windows 10 สามารถตั้งค่าได้ในหน้าต่าง Environment Variables วิธีการคือคลิกขวาหน้าเดสก์ทอปเลือกคำสั่ง Properties -> Advanced system settings -> Environment Variables ดับเบิลคลิกที่รายการ TEMP ทั้งในหัวข้อ "User variables" และ "System variables" แล้วกำหนดโฟลเดอร์ TEMP ใหม่เป็นไดรฟ์ D:Temp หรือชื่ออื่นๆ ตามต้องการ) อย่าลืมตั้งค่าในบราวเซอร์และแอพพลิเคชั่นที่มีการสร้าง Temp File บ่อยๆ ด้วย