DiskStation DS1019+ จาก Synology เป็น NAS รุ่นใหม่ล่าสุดที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานในบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็ก โดยเป็น NAS ในตระกูล Plus ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นพื้นฐานอย่าง series VALUE หรือรุ่นราคาประหยัด series J ซึ่ง DS1019+ จะมีความสามารถมากกว่าแค่การแบ็กอัพข้อมูลทั่วไป
DESIGN
ดีไซน์ภายนอกดูผ่านๆ อาจนึกว่าเป็น DS918+ ที่ออกมาเมื่อปีก่อน แต่จุดสังเกตที่แตกต่างคือขนาดตัวเครื่องจะใหญ่ขึ้นเล็กน้อยเพราะมีการเพิ่ม HDD เบย์ จาก 4 เป็น 5 เบย์นั่นเอง ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ นั้นแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง ทั้งโทนสีที่เป็นดำด้าน บอดี้เป็นพลาสติกที่แข็งแรงทนทาน ด้านหน้าเป็นตำแหน่งของเบย์สำหรับใส่ HDD แบบ Hot-Swap ได้ทั้งขนาด 3.5" และ 2.5” ทั้งหมด 5 เบย์ ด้านขวาติดตั้งไฟสถานะของ HDD แต่ละตัว มีพอร์ต USB 3.0 สำหรับการแบ็กอัพจากไดรฟ์ภายนอก และตำแหน่งปุ่ม on-off
ด้านหลัง เป็นที่อยู่ของพัดลมระบายความร้อนขนาด 92 มม. จำนวน 2 ตัวกินพื้นที่ถึง 2 ใน 3 ของบริเวณนี้ซึ่งแน่นอนว่าเพียงพอต่อการระบายความร้อนที่เกิดจากการทำงานของ HDD ได้ไม่มีปัญหา ซ้ายสุดเป็นพอร์ต RJ45 จำนวน 2 พอร์ต ซึ่งตรงนี้แอบเสียดายที่ยังเป็นแค่ Gigabit ไม่ใช่ 10 Gigabit มีปุ่ม Reset และ พอร์ต eSATA สำหรับ Drive Expansion (เพิ่ม HDD ได้อีก 5 Bay) และช่องเสียบปลั๊กพลังงานจากอะแดปเตอร์ ห่างมาเล็กน้อยจะเห็นพอร์ต USB 3.0 อีกพอร์ต รวมไปถึง Kensington Lock Slot ก็มีมาให้ใช้งานด้วย
ความพิเศษของ Synology DS1019+ คือมีสลอต M.2 NVMe มาให้อีก 2 สลอตอยู่ใต้ตัวเครื่อง ซึ่ง M.2 ที่ติดตั้งลงไปจะกลายเป็น SSD Cache ช่วยทำให้การอ่านเขียนข้อมูลทำได้เร็วขึ้นโดยเฉพาะงานที่มี IOPS หรือการเข้าถึงและใช้งานไฟล์พร้อมๆ กันจำนวนมาก ซึ่ง SSD Cache นี้ยังสามารถกำหนดให้เป็น Raid ต่างๆ ได้ด้วย เช่นถ้าติดตั้ง 2 สลอต ก็สามารถกำหนดเป็น Raid 1 ให้ mirror ข้อมูลเพื่อความปลอดภัยได้ด้วย
SPEC
Synology DiskStation DS1019+ ใช้ซีพียู Celeron J3455 quad-core (เหมือนกับรุ่น DS918+) ที่มีความเร็ว 1.5 GHz และ Turbo Boost ขึ้นไปได้ถึง 2.3 GHz ในส่วนของหน่วยความจำก็มีติดตั้งมาให้เรียบร้อย เป็นแบบ DDR3L โมดูลละ 4GB สองโมดูล รวมเป็น 8GB เรียกได้ว่าไม่ต้องอัพเกรดอะไรแล้ว (เพราะรองรับสูงสุดเท่านี้) การรองรับไดรฟ์นั้นแต่ละเบย์สามารถรองรับ HDD ความจุสูงสุด 14TB หมายความว่าถ้าติดตั้งไดรฟ์ครบทั้ง 5 เบย์ คุณจะมีพื้นที่เก็บข้อมูลได้สูงสุดถึง 70TB เลยทีเดียว ส่วนเรื่องอัตราการใช้พลังงาน DiskStation DS1019+ ใช้อะแดปเตอร์ 120 วัตต์ วัดการใช้พลังงานขณะทำงานได้ประมาณ 39W และ 14W ในโหมด Hibernate
--------------------------------
Processor: Intel Celeron J3455 (1.50GHz, 2.3GHz boost)
RAM: 8GB DDR3L (8GB max)
Drive Bays: 5x (3.5/2.5), 2x NVMe SSD
File System: Btrfs, ext4, ext3, FAT, NTFS, HFS+, exFAT
RAID Type: Synology Hybrid RAID, Basic, JBOD, RAID 0, RAID 1, RAID 5, RAID 6, RAID 10
Transcoding: H.264 (AVC), H.265 (HEVC), MPEG-2 and VC-1 at 4K30
Max storage: 70TB (14TB*5)
Cooling: 2x 92 mm fans
Ports: 2x Gigabit Ethernet, 2x USB 3.0, 1x eSATA
Power Consumption: 38.59W
Weight: 2.54 kg
Dimensions: 166 mm x 230 mm x 223 mm
Warranty: 3 years
--------------------------------
HIGHTLIGHTS
อย่างที่เกริ่นไปในต้นว่า Synology DiskStation DS1019+ ออกแบบมาเพื่อการใช้งานบ้านหรือ SOHO ซึ่งเน้นเรื่องการทำแบ็กอัพหรือใช้เก็บไฟล์ข้อมูลมัลติมีเดียเป็นส่วนใหญ่ ฟังก์ชันที่ถูกหยิบยกมาโปรโมท NAS ตัวนี้นอกจากการรองรับ HDD ได้ถึง 5 Bay แล้วคือความสามารถในการเป็น Media Server เล่นไฟล์มีเดียต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพลังประมวลผลซีพียู 4 แกน และแรม 8 กิกะไบต์ของ NAS ตัวนี้สามารถรีดประสิทธิภาพในการอ่านเขียนข้อมูลได้ถึง 225MB/s ซึ่งเหมาะมากสำหรับการนำไปเล่นไฟล์ภาพยนตร์ระดับ 4K เพราะมี 4K Transcoder หรือตัวถอดรหัสไฟล์ในตัวที่สามารถอ่านและสตรีมไฟล์ 4K H.265 (HEVC) and H.264 (AVC) เช่นไฟล์ MKV, MP4, AVI, TS, MPG, WMV ให้คุณไปรับชมบนอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทีวี พีซี โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต มือถือ ได้พร้อมกันถึง 2 แชนแนล (2 อุปกรณ์) พร้อมกันได้อย่างอย่างลื่นไหล
INSTALLATION
การเริ่มต้นใช้งานยังคงคอนเซ็ปต์ No Tools คือไม่ต้องใช้เครื่องมือหรือไขควงใดๆ สามารถเปิดฝา Bay แล้วใส่ HDD ลงในสลอตได้ง่ายๆ จากนั้นก็ติดตั้ง DSM หรือ DiskStation Manager ผ่าน Web Assistant ซึ่ง DSM จะทำหน้าที่เป็น OS ของ NAS Synology ทุกตัว หน้าตาการทำงานคล้ายกับ Windows ที่คุ้นเคย ตั้งค่าการทำ RAID ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ สุดท้ายสามารถคลิกติดตั้งแอพพลิเคชั่นต่างๆ จาก Package Center คล้ายๆ กับโหลดแอพใน App Store, Play Store แล้วแต่ว่าจะต้องการใช้งานอะไรซึ่งในนี้มีแอพที่เรียกว่าหลากหลายครอบคลุมมากๆ
SETUP
วิธีการ Setup ครั้งแรกถือว่าทำได้สะดวกตามสไตล์ Synology ที่แค่เสียบสาย LAN จากเราเตอร์หรือสวิตช์ฮับที่ใช้งานเข้ากับตัว DS1019+ จากนั้นเปิดเว็บบราวเซอร์แล้วพิมพ์แอดเดรส “find.synology.com” ฟังก์ชัน Web Assistant จะทำการสแกนหา NAS ที่อยู่ในวงแลนโดยเราไม่ต้องตั้งค่าอะไรเลย เมื่อพบ NAS แล้วก็จะแสดงชื่อรุ่นให้คุณเห็น โดยจะสังเกตบรรทัดสุดท้ายจะขึ้นสถานะว่า “Not installed” หมายความว่ายังไม่ได้ทำการติดตั้งระบบ ให้คลิกปุ่ม “Connect” อ่านข้อตกลงในการใช้งาน ตามด้วยคลิกปุ่ม “Set up”
ลำดับถัดไปจะเป็นการติดตั้ง DSM (DiskStation Manager) ซึ่งทำหน้าที่เป็น OS ของ NAS หลังจากคลิกปุ่ม “Install Now” ระบบจะแจ้งเตือนว่าข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ที่ติดตั้งใน NAS จะถูกลบทั้งหมด ถ้ามั่นใจว่าไม่มีอะไรแล้วก็คลิกตอบตกลงเพื่อดำเนินการต่อ หลังจากนี้ระบบจะดำเนินการติดตั้งระบบปฏิบัติการโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที หลังจากรีสตาร์ท (อัตโนมัติ) Web Assistant จะพากลับมายังขั้นตอนการกำหนดชื่อ Server, Username, Password สำหรับการใช้งาน ตามด้วยการตั้งชื่อ QuickConnect สำหรับการเข้าถึง NAS จากอินเทอร์เน็ตนอกบ้านได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องตั้งค่า Port Forward เพียงแค่พิมพ์ชื่อลงใน URL ของเว็บบราวเซอร์ (เช่น http://quickconnect.to/ocz-sample) ไม่ว่าจะบนมือถือ แท็บเล็ต ก็เข้าใช้งานได้ทันที
CONFIG
หลังจากเชื่อมต่อเข้ามาใน NAS แล้วจะพบกับอินเทอร์เฟซของ DSM ที่มีหน้าตาและการทำงานคล้าย Windows ที่คุ้นเคย สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องทำ (เฉพาะครั้งแรก) ก็คือการสร้าง Volume หรือการเตรียมพื้นที่สำหรับเก็บข้อมูล โดยคลิกปุ่มเมนู (มุมบนซ้าย) แล้วเลือก “Storage Manager” -> “Volume” -> “Create”
ที่หน้าต่าง Volume Creation Wizard ให้เลือกรูปแบบของ RAID ว่าต้องการใช้งานแบบใด โดยในโหมด Quick ระบบจะทำการกำหนด RAID ให้เป็นแบบ SHR (มีให้ใช้เฉพาะ NAS Synology เท่านั้น) ข้อดีของ SHR คือสามารถกระจายข้อมูลระหว่าง Disk ที่มีขนาดต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าการทำ RAID ทั่วๆ ไปโดยไม่ต้องห่วงเรื่องข้อมูลสูญหายเพราะมี Data Protection ด้วย โดยในตัวอย่างนี้ทีมงานได้ติดตั้ง HDD 2TBx2 และ 500GBx2 ซึ่ง SHR RAID จะทำให้เราสามารถใช้พื้นที่เก็บข้อมูลได้ถึง 3TB ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ถือว่าดีที่สุดในกรณีที่ต้องการใช้ฟังก์ชั่นการปกป้องไฟล์ข้อมูลด้วย ส่วนใครต้องการกำหนดเอง เช่น RAID 0, 1, 5, 6, 10 ฯลฯ ก็ให้คลิกไปที่ Custom ได้เลยครับ
PACKAGE CENTER
หลังจากสร้าง Volume เรียบร้อย NAS ก็พร้อมใช้งาน โดยคุณสามารถเลือกติดตั้งแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมเพื่อใช้ฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ต้องการได้อย่างสะดวกผ่านทาง Package Center ในลักษณะเดียวกับที่เราติดตั้งแอพฯ จาก App Store หรือ Play Store บนมือถือ ซึ่งแอพยอดนิยมสำหรับการใช้งานในบ้านก็เช่น Plex / DS Video สำหรับการจัดการไฟล์วิดีโอเพื่อสตรีมภาพยนตร์ไปยังอุปกรณ์อื่นๆ, Download Station สำหรับการดาวน์โหลดไฟล์บิตทอเรนท์, Moments สำหรับการแบ็กอัพไฟล์รูปภาพจากสมาร์ทโฟนโดยอัตโนมัติ, Drive Server สำหรับการสร้าง Private Cloud ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่จำกัดเหมือนอย่าง Dropbox อีกต่อไป ซึ่งนอกจากที่บอกมาแล้วยังมีแอพอื่นๆ อีกเพียบแล้วแต่ว่าจะต้องการใช้งานด้านไหนอย่างไรเรียกว่า NAS เครื่องเดียวเป็นได้แทบทุกอย่าง
สรุป
ใครก็ตามที่กำลังอยากได้ NAS ดีๆ รองรับการใส่ HDD เพิ่มเติมในอนาคตได้ มีฟังก์ชันระดับแอดวานซ์ครอบคลุมทั้งการทำงาน แบ็กอัพข้อมูล ดาวน์โหลด เป็นไฟล์เซิรฟเวอร์ส่วนตัว สามารถปรับแต่งคอนฟิกูเรชั่นรองรับงานต่างๆ ในอนาคตได้ ที่สำคัญรองรับการเป็น Media Server เอาไว้ดูหนัง 4K ที่บ้าน DiskStation DS1019+ รุ่นนี้น่าจะตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี ... ซึ่งในโอกาสต่อๆ ไปทีมงานจะนำเสนอการใช้งานในรูปแบบต่างๆ จาก NAS ตัวนี้ ยังไงก็อย่าลืมติดตามกันนะครับ
Price : 22,900 บาท
Special Thanks : Synology